Netnapa.net

ทัวร์ส่วนตัวยุโรป โดยคนไทยในเชค

ฟลอเรนซ์เมื่อไปถึงคืนแรก

 

- 1.-

ฉันก็เหมือนกับยายแต๊วข้างบ้าน ที่ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต อยากจะเห็นหิมะเป็นขวัญตา การเดินทางในเหมันตฤดูจึงเป็นการเดินทางที่ดึงดูดใจฉันมากที่สุด

“หิมะนั้นเป็นฉันใด ใครเคยเห็น วานเก็บมาฝากที”

บางที ฉันก็นึกอยากแต่งเพลงทำนองนี้ร้องเล่นๆ

หลายๆ คนคงเกิดมาเห็นลูกเห็บใช่ไหม จะเชื่อไหมถ้าจะบอกว่า ฉันเองตั้งแต่เกิดมา ประเทศไทยเจอมรสุมหลายร้อยลูก แต่ฉันกลับไม่เคยเห็นลูกเห็บเลยสักครั้ง ฉันเคยอิจฉาน้องที่มันบอกว่ามันวิ่งออกไปเก็บลูกเห็บแล้วเอามากินต่างน้ำแข็ง (จะบ้าเหรอ ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องแช่ตู้เย็นเลยนี่นะ) เวลาฝนตกๆ ฉันเลยชอบนั่งมอง แล้วนึกอยากให้เม็ดฝนแปลงร่างเป็นน้ำแข็ง ฉันอยากเห็นจริงๆ นะว่า เวลาฝนตกลงมาเป็นน้ำแข็งที่เรียกว่าลูกเห็บน่ะ มันเป็นยังไง คงประหลาดสิ้นดี ถ้าใครสักคนจะต้องหัวแตกเพราะเม็ดฝนแข็งๆ (อ้อ แล้วมันก็น่าประหลาดด้วยที่คนเรียกเม็ดฝนแข็งๆ ว่า ลูกเห็บ มันเหมือนเห็บตรงไหนเหรอ)

จะว่าไปแล้ว จากประวัติศาสตร์ชีวิต แค่ลูกเห็บกับฉัน ยังไม่ถูกโฉลกกันเลย ดังนั้นเรื่องความฝันกับหิมะ ฉันจึงฝังใจว่าคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ง่ายๆ และเป็นไปได้อย่างแน่นอน

ถ้าอยากเห็นหิมะ ก็ต้องเข้าเมืองหิมะ

ประดุจอยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเขาถ้ำเสือ

ไอ้การนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วสวดมนต์ภาวนา คงไม่พอเป็นแน่ 

เส้นทางสายหิมะของฉันเกิดขึ้นตอนอายุ 27 ปี ทั้งที่เคยบอกตัวเองเสมอว่าให้ไปเที่ยวเมืองนอกก่อนอายุ 26 ปี เพราะถ้าขึ้นรถไฟ ก็จะได้ลดครึ่งหนึ่ง เข้าพิพิทธภัณฑ์ก็จะได้ราคาเยาวชน พักโรงแรมของเยาวชนก็ได้

แต่แม้จะสายไป 1 ปี ก็ดีกว่าสายไป 2 ปี เป็นไหนๆ

ฉันยอมรับเงื่อนไขของชีวิตว่าอะไรๆ มันไม่ได้ง่าย และเราไม่ได้ทำอะไรได้เร็วดังความฝันที่ฝันไปแสนไกล วันหนึ่ง จากนักเขียน ฉันได้เป็นนั่งเก้าอี้บรรณาธิการ ที่ๆ ฉันนั่งปะปนอยู่กับนักเขียนทั่วไป เพียงแต่ได้อภิสิทธิ์ที่นั่งตรงติดหน้าต่าง และคนอื่นๆ เรียกฉันว่า บก. แล้วฉันก็ถือสิทธิ์วิสาสะว่า ตัวเองอยากไปนอก

และฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนั้นเลย เหมือนกับว่าถ้าไม่ไปในตอนนั้น กับทริปนั้น ฉันจะต้องลาออกเพื่อประชดเก้าอี้ริมหน้าต่างวินาทีนั้นเลย

ความบ้าหิมะของฉันเป็นไปได้ขนาดนั้นเชียว

อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สนับสนุนให้ฉันไปนอกได้สำเร็จ นั่นคือเงินเดือนของเก้าอี้ที่ฉันนั่ง พอจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ซึ่งฉันก็บ้าอำนาจพอที่จะขอลางาน 1 เดือนอีกต่างหาก โดยที่ผู้บริหารยอมจ่ายเงินเดือนเดือนนั้นให้ด้วย

ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนฉันว่า เราต้องยืนหยัดทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เก้าอี้ที่เรานั่งว่างเปล่า เพื่อนบ้านเงียบเหงา หรือว่าผู้บริหารตาเขียวก็ตาม :P

 

- 2-

เครื่องบิน : การเดินทางที่ดูยิ่งใหญ่อวดอ้างเกินจริง ทั้งๆ ที่เป็นแค่การนั่งในห้องสี่เหลี่ยม

สนามบิน : ที่ๆ ต้อนรับเรา ไม่ต่างจากสายพานลำเลียงกระเป๋า

แอร์โฮสเตส : พนักงานต้อนรับที่ดูไม่ค่อยอยากต้อนรับเราเท่าไหร่

เที่ยวบินกลางวัน : เที่ยวบินที่ทำให้เราไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของโลกในตอนกลางวันเหมือนเดิม 

เที่ยวบินกลางคืน : เที่ยวบินที่ทำให้เราไปถึงเช้าประเทศอื่น พร้อมสำหรับการเที่ยวได้ทันที แต่เราง่วงอยากนอน (ก่อน)

ฉันไปถึงปารีสด้วยเที่ยวบินกลางคืน ภาพตัดฉากไป เพราะเนื้อหารายละเอียดอยู่ในภาคแรก “ลมหนาวในปารีส” และถ้าฉันจะเล่าถึงการเดินทางต่อจากนั้น ฉันต้องเริ่มจากการนั่งรถไฟจากลียง ผ่านสวิตซ์เซอร์แลนด์ 

รถไฟเตเจเวที่วิ่งระหว่างประเทศนั้น วิ่งเร็วสมราคาคุยรถไฟเร็วระดับโลก เพียงแค่รถไฟเคลื่อนขบวนและเริ่มเหยียบคันเร่ง ฉันก็รู้ตัวแล้วว่า มันไม่ใช่เที่ยวรถไฟที่ชิลชิล สำหรับนักเดินทางจอมเวียนหัวอย่างฉัน

หายใจไม่ทัน ... คือ ความรู้สึกในขณะนี้

ฉันรีบลุกจากที่นั่ง เก็บพู่กัน สี และโปสการ์ดกวาดลงกระเป๋า ที่คิดว่าจะทำโรแมนซ์ นั่งรถไฟไป เขียนบันทึกไป วาดโปสการ์ดไป ลืมเสียสิ้น กว่าจะถึงปากทางห้องน้ำ ก็หน้ามืดแล้ว อาเจียนออกมาแบบคอห่านไม่ทันตั้งรับ

... ไม่มีบอกในไกด์บุ๊คว่าการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง อาจเกิดผลข้างเคียงเช่นนี้ หายใจไม่ออก เพราะฮีตเตอร์ และความเร็วที่เกินท้องจะตั้งรับไหว อาการนี้ยืนยันความอ่อนไหวของฉันได้ว่าไม่ได้อุปาทานคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมทางก็เป็น

“พี่ว่าพี่หายใจไม่ออก” ใช่แล้ว เพื่อนร่วมทางของฉัน คือ พี่ปราย พันแสง 

“อาการเดียวกันเลยค่ะพี่ แล้วอย่างนี้เราจะไปถึงฟลอเรนซ์ได้อยังไง?” 

กว่าจะสุดสายปลายทางรถไฟที่เร็วที่สุดในโลก ฉันและเพื่อนร่วมทาง นั่งกุมคอ ทำหน้าหายใจไม่ทั่วท้องอยู่พักใหญ่ เราผ่านอาการหน้าเขียวสลับหน้าซีด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเราก็อดนอนมากไปหน่อยด้วย ?

เพราะเมื่อคืนนี้ที่คาสิโนเมืองลียง เราแลกชิป 10 ยูโร เล่นเสียเรียบใน 15 นาที เพื่อที่จะมีข้ออ้างนอนหลับในคาสิโน เพราะไม่อยากเสียค่าโรงแรม!

“หรือว่าเมื่อคืนนี้ เรานอนไม่พอ”

“นั่นก็อีกสาเหตุหนึ่งที่เราเป็นอย่างนี้”

ยอมรับชะตากรรมเป็นอย่างดี สำหรับนักเดินทางหัวใส กระเป๋าตังค์หนักจำกัด และพยายามหาทางแหวกกฏเพื่อเที่ยวให้ประหยัดที่สุด...

จากลียง ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่เขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภาพแบบโปสการ์ดของภูเขามหึมาที่ยอดเป็นหิมะขาวโพลน ปรากฏที่นอกหน้าต่างรถไฟ เหมือนภาพวาดสองมิติ ดูช่างเป็นเมืองสวรรค์ ไม่ใช่ภาพจริงๆ เอาเสียเลย ฉันเอามือป้ายไอที่ปกคลุมกระจกหน้าต่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น 

หรือเป็นไปได้ว่า หน้าต่างบานนี้หนาเกินไป จนเรามองเห็นภาพสวยๆ นี้ บิดเบี้ยวไม่เหมือนจริง

หรือเป็นไปได้ว่า ตาของเราไม่เชื่อความงามที่มองเห็น เพราะว่าเป็นตาที่ไม่เคยจินตนการมีประสบการณ์มาก่อน

หรืออาจเป็นเพราะว่า ความงามผ่านม่านไอหนาวในรอยหิมะนั้น เป็นความงามแบบภาพฝัน และมันเป็นความปกติของความงามในฤดูกาลนี้อยู่แล้ว....

หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ ทำให้เราตะลึงกับภูเขาหิมะนอกหน้าต่างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง....

นี่คือเมืองเจนีวา - - มีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง ฉันถือกระเป๋าลาก เพราะไม่อยากเดินทางแบบนักแบกเป้ สะใจตัวเองนัก เมื่อไม่อยากเป็นแบคแพคเกอร์ ก็ต้องลากกระเป๋าขึ้นๆ ลงๆ บันได ดูทุลักทุเลสิ้นดีอย่างนี้แหละ

“มาทั้งที ผ่านสักครั้ง ขอเห็นเจวีวาเป็นขวัญตา ทำสถิติหน่อยเถอะ” ว่าแล้ว เราก็ลากกระเป๋าเดินออกจากสถานีรถไฟ ฝ่าความหนาวทำให้ลากกระเป๋าใบใหญ่ไปได้ไกลแค่ 200 เมตร ได้เห็น 1 สี่แยกไฟแดง เราก็หอบแตกแล้ว

“เราเห็นเจนีวาแล้ว และสามารถคุยได้ว่าเราเคยผ่านประเทศสวิตมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่สถานีรถไฟเถอะ เดี๋ยวตกรถ”

มันเป็นเช่นนี้เอง เรื่องของนักเดินทางตลกๆ กับเรื่องโอ่ง่ายๆ ของเขาที่มักถูกบอกเล่าให้ใหญ่โตเกินจริง 

 

- 3-

ระหว่างรอรถไฟที่เมืองมิลาน

เรามาถึงสถานีรถไฟฟลอเรนซ์ ขอบคุณจริงๆ นะ มันดูน่ากลัวมาก ดูมีมิจฉาชีพซ่อนอยู่ซอกตึก และดูยังไงๆ หน้าตาพี่ชายก็ดูออกว่าเป็นโจร เคราที่ไม่รู้จักโกนถ้าจะออกหาเหยื่อ ขอบตาดำคล้ำดูเครียดเกินคนธรรมดา ดูดบุหรี่จัดด้วยท่าทางไม่รักษาสุขภาพเอาซะเลย ฯลฯ และเขาไม่ใช่แค่เหมือนในหนัง แต่ฉากก็แบบนั้นเลย ฉันจึงระวังตัวทุกฝึก้าว

แต่ก้าวแรกออกจากสถานีรถไฟฟลอเรนซ์ โอ้ พอจอ ฉันชอบความรู้สึกแรกของคำว่า “ตื่นตาตื่นใจ” มันเป็นความทรงจำที่จะติดตัวฉันไปตลอดชีวิต

คำว่า “บรรยากาศ” ฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ วิญญาณของที่นี่ ซึ่งแตกต่างจากที่ๆ ฉันมา

ปารีส เป็นความหรู ของโล่งๆ อนูอากาศดูไม่ซับซ้อน

อุบลราชธานี เป็นธรรมชาติ ว่างๆ เพราะมันเป็นบ้านเกิดของฉันเอง

กรุงเทพฯ มืด มีมลพิษ คล้ายกับมลทิน

แต่ฟลอเรนซ์ มีความแน่นหนาอยู่ในองศา เจือด้วยความซับซ้อน และอุ่น ฉันจะอธิบายอย่างไรดีนะกับความเป็นฟลอเรนซ์ มันเป็นฟลอเรนซ์ที่ฉันหลงรัก ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตาเบิกมามองเห็น

Ciao! ค่ำคืนแรกในรอยจำ

....เรามาถึงเมืองที่รักเมื่อค่ำแล้ว จากสถานีรถไฟไม่ไกล ก็มาถึง ดูโอโม่ ยามค่ำ รอบ ๆ มีแสงไฟและคนเดินเล่นเต็มไปหมด มันเป็นความมหัศจรรย์ และเป็นภาพที่สวยงามมาก ขณะที่ปารีสกว้างขวางโอ่อ่า ยิ่งใหญ่ แต่ที่นี่เป็นสถานที่เล็ก ๆ โอ่อ่า และอบอุ่น 

มาโคโปโล หนุ่มที่เราเจอบนรถไฟ บอกว่า ฟลอเรนซ์เป็นเมืองเล็ก ๆ คุณสามารถเดินเที่ยวได้รอบในวันเดียว แล้วเขาก็ส่งเรา ณ ตำแหน่งที่บอกว่าเป็นจุดศูนย์กลางของฟลอเรนซ์  หันหลังมาอีกที มาโคโปโลก็หายไปแล้วจริง ๆ กับความมืด

หน้าที่ต่อไปของเราคือหาโรงแรม....

เดินผ่านถนนหินลาน และระหว่างเส้นทางเดินแสนมหัศจรรย์นี่แหละ คือ ความฝันของนักเดินทางที่รอคอย สัมผัสแรกที่เห็น มันจะเป็นความทรงจำที่ไม่ลืม การที่ฉันได้เห็นบรรยากาศฟลอเรนซ์ตอนพลบค่ำที่ผู้คนเดินไปมาผ่านบ้านเมืองที่สวยงาม รอบๆ ตัวที่เดินผ่าน มันเหมือนภาพสโลโมชั่น และหน่วยความจำมันจะบันทึกภาพนี้ไปจนชั่วชีวิตโดยอัตโนมัติ

“แม้บางคนจะบอกว่าฟลอเรนซ์ไม่อาจอวดตัวเทียบเคียงกับเมืองโบราณอย่างเอเธนส์หรือโรม แต่ฟลอเรนซ์ก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างงามวิจิตรอย่างน่าประทับใจ คงความศิวิไลซ์ในแบบฉบับของตัวเอง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของความสงบสันติตลอดกาล” บทบันทึกของนักเขียนคนหนึ่ง ที่ฉันพยักหน้าเห็นด้วย 

ฉันกับพี่ปรายเดินผ่านดูโอโม่ โบสถ์หินอ่อนสีเขียวที่รูปทรงสง่างามโรแมนติก ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แสงไฟสลัวกับความหนาวรอบๆ ทำให้ความโรแมนติกเพิ่มขึ้นอีกจนประมาณการณ์ไม่ได้ 

เราเดินหาโรงแรมรอบๆ ใจกลางเมือง แล้วตกลงใจเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ เพราะชอบโปสการ์ดของโรงแรมที่ดูสวยคลาสสิค พาลให้คิดว่ามันต้องเป็นโรงแรมเก่าที่มีตำนานของตัวเอง นั่นคือ Hotel Romagna ราคาถูกที่สุดเท่าที่เราหาได้ในบริเวณนั้น 

แล้ววกกลับไปเอากระเป๋าที่สถานีรถไฟ แล้วลากกระเป๋าล้อเลื่อนผ่านถนนหินที่ทำให้เสียงดังกรู๊บๆ ทำให้นึกถึงเป้ยิ่งนัก....

ค่าโรงแรมคืนละ 57 ยูโร คืนนี้เราอาจหาญถึงขั้นส่งผ้าซักโรงแรมเสียด้วย ตกหลายตังค์ ก็อยากจะเป็นนักแบกเป้ลุยๆ ที่แสนอดทนอยู่หรอก แต่ฉันกับเพื่อนร่วมทางน่ะ ถึงเวลาเที่ยวแล้วลืมเรื่องเงิน ขอให้เที่ยวสุขกายสบายใจไว้ก่อน กลับบ้านกระเป๋าเบาเป็นใช้ได้ (555)

เก็บกระเป๋าเสร็จ เราไม่ปล่อยให้วินาทีใดในฟลอเรนซ์...ผ่านไปอย่างว่างเปล่า ออกลุยค่ำคืนแรกในฟลอเรนซ์ทันที

จากโรงแรมที่เราพัก ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมือง ทำให้เราไปถึงถนนกลางเมืองไม่ไกล มันเป็นตลาดนัดกลางคืน ร้านค้าแบรนด์เนมเริ่มทยอยปิดแล้ว แต่ไปซะได้ก็ดี ร้านหรูๆ ที่ประตูหายาก ชอบแอบอยู่มุมหลบข้าง ซึ่งพี่ปรายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเหตุผลเรื่องการคัดเลือกลูกค้าอภิสิทธิ์ที่สนใจจะชอปสินค้าอย่างเป็นประจำ มากกว่านักท่องเที่ยวขาจรที่ช่างอยากรู้อยากเห็น สนใจไปซะทุกอย่าง แต่ไม่ซื้ออะไรเลย...

ฟลอเรนซ์....เมืองๆ นี้ผ่านอุปสรรคแห่งการทำลายล้างมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือน้ำท่วมใหญ่ในปี 1966 ก็ตาม แม้แต่การพยายามเปลี่ยนจัตุรัสของเมืองให้กลายเป็น “แหล่งช็อปปิ้ง” ก็เช่นกัน แต่เมืองๆ นี้ก็ไม่มีปัญหาในการที่ยืนหยัดคงความเป็นเมืองแห่งอดีตเอาไว้ได้อย่างสวยงาม

เพราะพวกเขารู้ดีว่าจิตวิญญาณแห่งฟลอเรนซ์ที่แท้จริงคืออะไร

ในตอนนั้น มันเป็นบรรยากาศของคนเดินออกมาดื่มด่ำบรรยากาศ บ้างถือดอกไม้ไฟไอ้เล็กๆ ในมือ บ้างก็ขี่คอกันเดินเล่น... 

เราเดินจนมาถึงสะพานโบราณ สะพาน Ponte Vecchio di notte ที่ในอดีตเป็นตลาดค้าทอง ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังมีร่องรอยของร้านทองที่สลักลวดลายเอกลักษณ์ แต่สีสันของทองนั้น ไม่อร้าอะร่ามเท่าทอง 92.5 เปอร์เซนต์แบบบ้านเรา และไม่เหลืองสุกแบบทองสวิส 99.99 เปอร์เซนต์ (นี่คือการมองจากสายตาของเจ้าของทองสองสลึง)

ตรงกลางสะพานนี้ มีรูปปั้นหมูเขี้ยวทองอยู่ด้วย เก็งแล้วไม่น่าจะพลาด มันคือการเกาถูเพื่ออธิษฐานอย่างแน่นอน จะแม่นเรื่องอะไรสักอย่าง แต่คิดว่าของหนีไม่พ้นเรื่องการกลับมาเหยียบถิ่นนี้ใหม่อีก แต่ถึงยังไงตำนานความเป็นมาอันแตกต่างของแต่ละรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ก็น่าสนใจเสมอ 

ส่วนทิวทัศน์ตรงสะพาน มองไปเป็นแม่น้ำอาร์โน สองข้างริมฝั่งแม่น้ำเป็น “ด้านหลัง” ของบ้าน ซึ่งให้ที่สวยงามไปอีกแบบ นับเป็นหนึ่งในจุดที่โด่งดังที่สุดของฟลอเรนซ์....

ผู้คนออกมาเดินเที่ยวยามค่ำคืนครึกครื้นไปหมด ดูสำเริงสำราญใจดีจริง ๆ

บนถนนที่ทอดยาวสายอาร์โน่ บรรยากาศในค่ำคืนนั้น คือความเป็นฮันนีมูนโดยแท้ โดยที่ไม่ว่าเพื่อนร่วมทางจะเป็นใคร ถ้าได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้น ไม่ได้ทำให้คำว่าความรักต้องหมายถึง “คู่” และฮันนีมูนไม่จำเป็นต้องหมายถึงทริปการเดินทางหลังแต่งงานเสมอไป 

ฮันนีมูน อาจคือ นักเดินทางคนหนึ่งที่หลงรักฉากของโลกก็เป็นได้ 

 

เดินโดยรอบดูโอโม่

ในตอนนั้น เมื่อคำว่าดึกดื่นเกินไปเข้าครอบงำยามค่ำคืน เรากลับมาที่ห้องพักซึ่งลักษณะแคบยาวแบบโลงศพ รู้ทั้งรู้เพราะเคยอ่านหนังสือฮวงจุ้ยมาเป็นพื้นที่อันไม่น่าควรพิสมัย แต่อาศัยด้านหน้าห้องของเราเป็นมุมนั่งเล่นรวม ฉันเลยออกมานั่งอ่านหนังสือเล่นตรงนั้นเวลาที่รู้สึกว่าวิญญาณจะเริ่มออกจากร่างในห้องโลงศพ

แต่ถึงยังไง เรานอนหลับเป็นตายเอาไว้ก่อนเพื่อชาร์ตแบตให้เต็มที่ การเที่ยวเช้ายันค่ำ และเช้ายันค่ำ ไม่ต่างจากวิ่งมาราธอน และเวลาสามคืนในฟลอเรนซ์ เราจะทำให้มันเป็นการวิ่งเปรี้ยวในระยะทาง 10 กิโลเมตร ดังนั้นต้องโด็ปแรงเอาไว้อีก 10 เท่าตัว

เมื่อติ่นเช้ามาร่าเริงแจ่มใส กระดี้กระด้าหน้าตาผิวพรรณแจ่ม เราเตรียมพร้อม น้ำขวด แผนที่ เสื้อหนนาว สมุดโน๊ต ปากกา และกระเป๋า

พอเดินออกมาก็ตรงไปที่โบสถ์ดูโอโม่กลางเมืองกันก่อนเลย

ถนนทุกสายมุ่งไปสู่กรุงโรม และกล่าวกันไว้ว่า ณ เมืองฟลอเรนซ์ ถนนทุกสายนำทางไปสู่ดูโอโม่ เพราะมันคือศูนย์กลางของเมือง เปรียบเสมือนหัวใจ 

มันเป็นโบสถ์ที่สวย แปลกตา และน่าค้นหามาก ฉันรู้สึกว่าเหมือนกล่องกระดาษขนาดยักษ์ มาตั้งวางก้างใหญ่โตอย่างมั่นอกมั่นใจในตัวเองเต็มที่ นึกไม่ถึงเลยว่ามันคือหินอ่อน หนักมหาศาล สลักเสลาขึ้นมาเป็นโบสถ์มหึมาจริงๆ คารวะหัวจิตหัวใจของศิลปินจริงๆ 

ทำได้สวยจนดูเหมือนของเล่นซะงั้น

ทำได้ยิ่งใหญ่ ราวกับเป็นร่มฉัตรปกคลุมเมืองทั้งเมือง 

ฉันชอบฟลอเรนซ์ตรงความเป็นเจ้าของศิลปะเรเนอซองส์ นี่คือเมืองแห่ง “กาลเวลาสองพันปีแห่งประวัติศาสตร์และศิลปะ” การเที่ยวฟลอเรนซ์ เปรียบได้กับ “การเปิดอ่านหนังสืองานศิลป์ขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง” มันทำให้เราตืนเต้นเหมือนคนตัวจิ๋วที่เดินทางไปในโลกมหัศจรรย์

ฟลอเรนซ์เป็นเมืองแห่งการเดินเที่ยวเท้าเปล่า ไกด์จะบอกเราว่าทุกซอกซอนควรให้เท้าเราได้ย่ำสัมผัสไปทุกตารางเมตร บอกกันว่าเขาจะไม่พยายามให้รถเข้ามาในส่วนของดูโอโม่เลย เพราะกลัวแรงสั่นสะเทือน ว่าเข้าไปโน่น แต่ก็เห็นปฏิบัติกันจริงๆ 

และก่อนจะเที่ยวยาว เรารู้ตัวว่าต้องกินเอาแรง ยอมเลือกร้านแพง จ่ายค่าวิวหน้าต่างกระจก ร้านดื่มกินต้องหัวมุมถนนที่มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นดูโอโม่เพลินตา (บอกแล้ว เริ่มประหยัดกิน ประหยัดเที่ยว ไม่ใช่นักเดินทางสไตล์กระเป๋าลากอย่างเราหรอก ฮามั้ย)

 

ที่ร้านนี้พี่ปรายบอกว่า ไม่รู้ทำไม นักท่องเที่ยวคู่สามีภรรยาจึงมองเรานักหนาเหมือนตัวประหลาด

“หริ่นกินมอมแมมเกินไปหรือเปล่า”

“อันนั้นมองทีเดียวก็น่าจะพอแล้วนะ”

“เอ หรือว่าเพราะกระเป๋าเป้ดีเคเอ็นวายที่พี่ยืมมาจากมีน ทำให้หล่อนมองไม่วางตา”

“มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ แค่กระเป๋าใบเดียว”

สายตาปริศนาที่มองเราอย่างไม่วางตา ขณะที่เราเสตามองไปนอกหน้าต่างดูดูโอโม่อย่างพยายามทำให้เป็นปกติ

ฟลอเรนซ์เป็นเมืองเล็กๆ ที่รอต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาพบกับความสวยงามของเมือง ระหว่างคนแปลกหน้าที่ต่างก็ออกเดินทางเพื่อแสงหาเรื่องราวใหม่ ๆ เราควรได้พบปะกับผู้คนเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นได้พูดถึงเรื่องราวของบุคคลของโลกชาวอิตาเลียนอย่าง ดันเต้, มาคิอาเวลลี่, เกียตโต้, ดอนนาเทลโล่, มิเคแลงเจโล่, ซาโลนาโรล่า, ลีโอนาร์โด้, กาลิเลโอ, เซลลินี่ และลอเรนโซ่ เด เมดิซี่ หรือชาวฟลอเรนซ์คนอื่นๆ ในยุคสมัยที่แตกต่างกันอีกด้วย 

แต่บางครั้ง เราก็แค่มอง...แต่บทเปิดฉากสนทนายังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น....

จากคาเฟ่ เราออกไปยังจตุรัสเดล ดูโอโม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน เป็นต้องหลงใหลไปกับความงดงามของ “ดูโอโม่” รับรอง

มหาวิหาร หรือเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “ดูโอโม่” หรือชื่ออย่างเป็นทางการ “ซานตา มาเรีย เดล ฟิออเร่” สร้างขึ้นโดยอาร์โนลโฟ่ ดิ กัมบิโอ้ จากนั้นก็มีศิลปินอีกมากหน้าหลายตาเข้ามาสานงานต่อ สองในนั้นก็คือ กิอ็อตโต้ และบรูเนลเลสคี่ สร้างเสร็จในปี 1461 ซึ่งนับเอาการติดตั้งตะเกียงเอาไว้บนยอดโดมนั้นเอง 

รอบๆ มหาวิหารนั้น มีการซ่อมแซมขนานใหญ่ นั่งร้านปิดบังรัศมีพอสมควร เราถ่ายรูปจนหนำใจ จึงเดินฝ่านักท่องเที่ยวมหาศาลเข้าไปภายใน

นับเป็นมหาวิหารที่ใหญ่มาก ก็จะไม่ให้ใหญ่ได้อย่างไร ภายในมหาวิหารยาว 153 เมตร ถือเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม และมหาวิหารเซนต์ปอลในกรุงลอนดอน 

กาลเวลาเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆ ของมหาวิหารแห่งนี้ไปบ้าง แต่ความอมตะยังข้ามกาลเวลาเสมอ

ฉันเดินดูงานศิลป์ในโบสถ์ที่สร้างขึ้นด้วยศรัทธาของศิลปิน เอาเท่าที่เห็น เช่น ภาพปูนเปียกรูป “วันพิพากษา” งานตกแต่งด้วยกระจก งานตกแต่งบันได แท่นหินอ่อน ไม้กางเขนทองแดง หน้าต่างบานรับแสงมายังโถง ห้องสำหรับพระสงฆ์เตรียมตัวประกอบศาสนพิธีที่ได้รับการออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม ห้องประกอบพิธี ประตูทองแดง ตู้ติดผนัง ภาพวาดเกี่ยวกับบทประพันธ์ของดังเต้ และบทประพันธ์ของเขา รวมถึงรูปปั้น และภาพปูนเปียกอีกมากมายโดยฝีมือของศิลปินระดับปรมาจารย์หลายต่อหลายคน ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาสร้างสรรค์นานเกือบยี่สิบปี 

ทั้งหมดต่างก็เป็นผลงานของศิลปินมีชื่อแห่งยุคทั้งสิ้น ได้ดูเป็นขวัญตา ถึงไม่รู้เรื่องศิลปะนัก แต่ก็จะรู้ว่า ที่เขาว่างามเอกอุเข้าขั้นมือศิลป์นั้น เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วเมื่อรวมสุดยอดของแต่ละแขนงมารวมกันเข้า ผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างนี้เอง

ดูโอโม่เป็นศาสนสถานที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 6 ขณะที่ฟลอเรนซ์สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1 ดูโอโม่ถือเป็นวิหารโรมันโบราณของเมือง นับตั้งแต่ปี 1128 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญยอห์น ซึ่งเป็นนักบุญประจำเมือง 

จากด้านใน เราลงไปที่สุสานใต้ดิน ที่มีร้านขายของที่ระลึกได้ใจมาก อะไรๆ ที่เป็นฟลอเรนซ์น่าซื้อไปหมด เพราะดูมีคลาสมีศิลป์เสียจริงๆ

ออกมาที่ลานด้านนอก....เพลินกับความสวยงามอลังการของโบสถ์ไม่มีเบื่อ ที่จตุรัสดูโอโม่นั้น ยังมีโบสถ์แบบแบ๊บติสต์ เป็นรูปแปดเหลี่ยม ด้านบนมีปิรามิดครอบเอาไว้เพื่อซ่อนยอดโดม เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

ขณะที่ประตูทองแดงทั้งสามบานถือเป็นประตูที่มีชื่อเสียงมาก มีประตูบานที่หุ้มด้วยทองคำทั้งบาน ด้วยเรียกว่า “ประตูสู่สรวงสวรรค์” ตั้งชื่อโดยไมเคิล แองเจโล่ แบ่งออกเป็นสิบส่วนซึ่งเป็นเรื่องราวของพระคริสตธรรมเก่า

ในอดีต ลานจตุรัสเดล ดูโอโม่ เป็นสถานที่จัดเทศกาลจุดพลุเฉลิมฉลองในเวลาเที่ยงวันของวันอาทิตย์ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ เรียกการฉลองนี้ว่า “สกอปิโอ้ เดล คาร์โร่” มีการนำพลุไฟ ตะไล, ดอกไม้ไฟ มารวมตัวกัน บรรทุกมาบนเกวียนของใครของมัน เรียกได้ว่าเป็นการฉลองด้วยการจุดระเบิดก็ได้

การฉลองเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแรกย้อนกลับไปในช่วงสงครามครูเสดครั้งแรก (1056-1100) ใช้สำหรับการทำนายผลผลิตของการเก็บเกี่ยว ถ้าจรวดพุ่งไปในทางตรงไปเฉไปมา ให้ทำนายว่าปีนื้พืชผลจะดี แต่หากผิดทิศผิดทางเมื่อใด ให้หยุดทันที เนื่องจากหมายถึงพืชผลจะไม่ดี

ดูเหมือนพิธีเสี่ยงทาพระโคให้กินหญ้าเหมือนบ้านเรายังไงยังงั้น

เคียงข้างกับดูโอโม่ คือ หอระฆังกิอ็อตโต้ เป็นหอระฆังประจำมหาวิหาร ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในอิตาลี สูง 84.7 เมตร เป็นหอระฆังฐานหกเหลี่ยม มีรูปปั้นหมู่ 16 รูป จากฝีมือสุดยอดศิลปินงานปั้นสไตล์กอธิค 

บันไดสู่ยอดหอระฆังมี 414 ขั้น เมื่อขึ้นไปจะได้เห็นทัศนียภาพรอบๆ ได้เช่นเดียวกับบนจุดยอดโดมของตัวมหาวิหารเอง แต่หัวเข่าประท้วง เราคิดว่าคงไปไม่ถึง เลยไม่ได้อึดสู้... อยากโห่ก็ตามใจเลย

บริเวณรอบดูโอโม่มีแกลลอรีมากมายตั้งอยู่ และเริ่มมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1508 แต่ตอนแรกๆที่สร้างไว้ แต่ยังไม่เสร็จ เคยถูกไมเคิล แองเจลโล วิจารณ์ว่าเหมือน “กรงจิ้งหรีด” แต่ที่เราเห็นในทุกวันนี้ รูปร่างหน้าตาก็ไม่คล้ายเท่าไหร่แล้วล่ะ 

เราตรงไปที่พิพิธภัณฑ์ เดอะ บิกัลโล่ ล็อกเกีย เพราะเป็นที่สุดแห่งพิพิธภัณฑ์ที่ห้ามพลาด รวมงานศิลป์สุดยอดของฟลอเรนซ์ และเป็นอะไรที่ระดับโลก ภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยศิลปะปูนเปียกฝีมือศิลปินจากศตวรรษที่ 13 และ 16 มากมาย ซึ่งที่โด่งดังที่สุดก็คือผลงานจากศตวรรษที่ 14 ชื่อ “มาดอนน่า เดลล่า มิเซรีคอร์เดีย” ผลงานของแบร์นาโด้ ดั๊ดดี้

แต่พอเราไปถึง พิพิธภัณฑ์ปิด เพราะเป็นโลว์ซีซั่นในหน้าหนาว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งปิดตัวเพื่อต้านภัยหนาว แต่ความผิดพลาดของเรา ได้รับการทดแทนด้วยร้านขายของที่ระลึกใกล้ๆ พิพิธภัณฑ์ ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือและของที่ระลึกมากมายที่ทำให้กระเป๋าเงินสั่นสะเทือนนั่นเอง

ฉันซื้อหนังสือมาหลายเล่ม แล้วออกมานั่งให้แดดหนาวทำให้อุ่นขึ้นบ้างที่ด้านนอก พลางทอดสายตามองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างรื่นเริง อิตาลีต่างจากฝรั่งเศสตรงที่ผู้คนแสดงออกถึงความรู้สึก พวกเขาร่าเริง และเปิดเผย ยิ้มแย้ม กอดจูบ ร่าเริง ดูมีฃีวิตชีวากว่ามาก 

หนึ่งในเหยื่อสายตาของฉัน คือ พ่อวัยหนุ่มที่เล่นกับลูกชายหน้าโบสถ์ เขาเล่นหยอกล้อกันได้น่ารักมาก แอบถ่ายรูปอยู่หลายช็อต จนรู้ตัว แต่พ่อลูกก็ไม่ว่าอะไร แถมยังสู้ให้กล้องอีกด้วย...

 

text By Netnapa Kaewsaengtham