Netnapa.net

ทัวร์ส่วนตัวยุโรป โดยคนไทยในเชค

เส้นทางมุ่งหน้าสู่เวียนนา ระหว่างสองข้างทางเป็นธรรมชาติ มันเป็นฤดูร้อน ที่เกือบหกโมงเย็น พระอาทิตย์ยังไม่ตก กว่าจะเริ่มมืดก็สี่ทุ่มแล้ว ตอนนี้เราจึงเป็นเส้นทางบ้านนอก บ้านเรือนแบบชนบท และเรือกสวนไร่ไวน์แบบคันทรี

และที่ดูโดดเด่นมาก คือ กังหันลม เครื่องปั่นไฟฟ้าธรรมชาติ ที่แถบนี้มีเยอะมาก เป็นเหมือนเมืองในอนาคตที่ทันสมัยสุดๆ เพราะเป็นแท่งสีขาวขนาดยักษ์ทผุดขึ้นท่ามกลางทุ่งโล่ง นับสิบๆ ตัว คนออสเตรียนิยมใช้พลังงานจากธรรมชาติหรือ นั่นคือคำถาม

คำตอบคือ ใช่ แต่เบื้องหลัง คือ พวกเขาสร้างเครื่องมือนี้ไว้ใกล้ชายแดนเช็ก-ออสเตรีย เพราะต้องการประท้วงโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเช็กนั่นเอง เพราะโรงงานนี้อยู่ใกล้เมืองหลวงของออสเตรียอย่างมาก ถือว่าค่อนข้างเก่า และบ่อยครั้งมีข่าวที่น่าตกใจเกี่ยวกับระบบควบคุมภายในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ถึงอย่างนั้น ชาวออสเตรียก็ประท้วง พร้อมๆ กับสั่งซื้อไฟฟ้าจากเช็ก

นั่นคือ มุมมองของการเมืองระหว่างประเทศ มุมมองนักท่องเที่ยวของเรา มันเป็นทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม และประหลาด

พอเข้าเขตเวียนนา เราใช้จีพีเอสในรถ เพื่อบอกเส้นทางการเดินทาง ถึงตอนนี้ ฉันรู้สึกว่ามันช่างเป็นการเดินทางที่ง่ายดายมากๆ นี่ถ้าฉันขับรถเป็น ฉันไปเที่ยวคนเดียวทั่วยุโรปได้เลยนะเนี่ย ขอแค่มีจีพีเอสในรถ แล้วใส่ชื่อสถานที่ที่ต้องไปลง คอมพิวเตอร์ก็จะนำทางคุณไป และคำนวณทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ทั้งข้อมูลของสถานที่นั้น ระยะทางกี่กม. ทางผ่านไป ทางก่อสร้าง เบอร์โทร ข้อมูลบริษัท ฯลฯ 

โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ชีวิตเราก็เปลียนแปลงไป เพราะเทคโนโลยี ฉันสงสัยในสมัยที่ผู้คนต้องเดินทางด้วยรถม้า ขี่อุฐ แล่นเรือ ฯลฯ นั่นเขาก็คิดว่ามันคือความทันสมัย ดีกว่าเดินเป็นไหนๆ และแทบนึกไม่ออกว่า ในยุคหน้า แค่คิด เราก็จะหายตัวไปในจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้หรือเปล่า

เหมือนอย่างยุคหนึ่งที่ผู้คนทำนายว่า ในยุคเรา มนุษย์จะสามารถติดต่อกันผ่านโทรจิตได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก จริงๆ แล้ว คำตอบในยุคนนี้ มันก็คือ โทรศัพท์มือถือนั่นเอง เราสามารถรู้ใจคนอื่นได้ทั่วโลก โดยการโทรไปแล้วถามได้ทุกที่ ทุกเวลา และฉันสงสัยว่า นักเดินทางในยุคหน้าจะเดินทางด้วยอะไร

ขณะที่เราสองคนเดินทางด้วยแฟนที่จีพีเอส หนึ่งชั่วโมง เราก็ถึงตัวเมืองเวียนนา มาเร็กใส่ชื่อโรงแรมแมริออทลงไป แล้วไม่กี่นาที เราก็มาถึงหน้าโรงแรมแมริออท เปล่าหรอกนะ เราไม่ได้มาพักโรงแรม แต่เราเลือกแมริออท เพราะเรารู้ว่า ทุกเมืองทั่วโลก โรงแรมแบรนด์นี้จะตั้งอยู่ย่านที่ดีที่สุด โดยเฉพาะย่านนักท่องเที่ยว

ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเวียนนามากนัก แต่จิตใต้สำนึกลึกๆ ฉันรู้ดีกว่า ฉันชอบเที่ยวแบบไม่มีจิตนาการมาก่อน ชอบมากที่สุด คือ สายตาแรกที่เราได้เห็นเมือง สัญชาตญาณเราจะบอกทันทีว่าเมืองนี้ เป็นอย่างไร และการเที่ยวคือการเรียนรู้เมืองนี้ไปด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากการปล่อยให้ตัวเองหลงทางในช่วงต้น เพื่อให้ได้ลองถูกผิด แล้วเริ่มรู้มากขึนเรื่อยๆ จึงวางแผนเที่ยวต่อไป

ฉันไม่ชอบเลยจริงๆ การวางแผนทุกอย่างก่อนไป เห็นภาพจากเวบไซต์ เห็นข้อมูล และมีแผนการณ์ยาวเหยียดแล้วว่าต้องไปไหน การเที่ยวของฉันมีสัญชาติญาณของการเร่ร่อนอยู่ด้วยเสมอ มันมีส่วนผสมของการผจญภัย หลงผิด บวกเรียนรู้ไปด้วย

แรกพอเวียนนา ตะลึงในความสวย และกว้างขวาง ถนนใหญ่ ตึกใหญ่ ดูเป็นเมืองใหญ่ โอ่โถง ไม่แพ้ปารีส ใหญ่กว่าปราก สวยกว่าที่ดิดไว้ และบรรยากาศก็ดูดี สะอาด และเป็นระเบียบ น่าอยู่ ดูเป็นเมืองเจริญที่ทันสมัย แต่มีความสวยงามของบ้านเมืองแบบคลาสสิคที่มีมนต์เสน่ห์

ถนนที่เห็นนั้น เป็นถนน Stubenring ในย่านโรงแรมใหญ่ๆ ที่มีบรรยากาศเหมือนเมืองริมตากอากาศชั้นดี ของคนรวย เป็นที่ตั้งของโรงแรมใหญ่ๆ มากพอ แต่เราไม่มีสถานที่เที่ยวในเวียนนาสักที เลยอ้อมไปในย่านๆ นั้นเพื่อสำรวจรอบๆ แต่แล้วเส้นทางก็บังคับให้เราเลี้ยวเข้าไปใต้อาคารแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึง...

มันคืออะไรเนี่ย!?! 

ดูลักษณะเหมือนคาร์แคร์เช็กศูนย์ถ่วงล้อ บวกที่จอดรถอัตโนมัติในอาคารที่มีห้องเป็นล็อกๆ สำหรับจอดรถแต่ละคัน และมีตู้อัตโมัติสำหรับหยอดเหรียญ แต่ทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมัน ไม่มีภาษาอังกฤษ เราเดาว่าหรือมันเป็นลิฟท์ส่งรถไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง เาเลยนั่งในรถ แล้วพับกระจกรถสองข้างเก็บเขาที่ บรรยากาศเหมือนในหนังมาก ตอนนั้น ฉันคิดว่า หรือเทคโนโลยี ไปที่ไหนตามใจนึก จะสำเร็จแล้ว ด้วยห้องโดยสารข้ามมิตินี่

ก่อนที่อะไรๆ จะดูอันตรายและโลกโผนเกินไป ชายท่าทางเบื่อๆ ก็เปิดประตูเข้ามา แล้วบอกให้เราออกมาจากรถ จัดการจอดเงินเข้าไปในตู้ซะแล้ว แล้วออกมาจากห้องนั้น จากนั้น รถของเราก็ถูกส่งลิฟท์ขึ้นไปจอดในด้านบนอย่างอัตโนมัติ เราเห็นรถของเราเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ผ่านกล้องทีวีความละเอียดสูง

แต่เราไม่ได้ต้องการจอดรถ แค่หลงทางเข้าใจไหม มันเป็นที่รับจอดรถที่เห้นแก่ตัวมาก มีแต่ทางเข้า ไม่มีทางออก เราจ่ายไป 8 ยูโร เพื่อจะเดินออกมาข้างนอก และพบว่า มีที่จอดรถฟรีมากมายริมถนน 

การเดินทางผจญภัยนั่นเริ่มต้นแล้ว และก่อนที่เราจะรู้ตัวซะอีก...

เมื่อออกจากที่จอดรถ โดยขึ้นลิฟท์ เราก็ทะลุมิติออกมาที่ถนนเส้นหนึ่ง ร้านรวงต่างๆ ปิดหมดแล้ว ผู้คนที่ดื่มกินในร้านอาหารอย่างเงียบๆ เราผ่านโบสถ์แห่งหนึ่งที่ภายนอกดูเรียบๆ แต่ฉันเป็นคนชอบเที่ยวโบสถ์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะโบสถ์มักเต็มไปด้วยศิลปะมากมาย ทั้งงานปั้น ภาพวาด งานสถาปัตยกรรม และยิ่งเป็นงานศิลป์จากความศรัทธา ฉันว่ามันเป็นงานศิลปะที่สูงค่า 

อาจไม่ใช่งานชื่อก้องโลก แต่ในความเล็กรายรอบขอบทางที่ไม่มีใครเล่านี่แหละ คือ เสน่ห์และประวัติศาสตร์การเดินทางส่วนตัวของเราเอง

ประตูยังเปิดต้อนรับอาคันตุกะอยู่ แม้จะเย็นมากแล้ว เมื่อลองเปิดประตูเข้าไปข้างในโบสถ์ ภาพแรกที่เห็นทำเอาตกใจ มันคือความสวยงามของโบสถ์ที่ธรรมดาๆ ภายนอกที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็น โอ่งโถงและสง่างาม เปล่าว่างผู้คน มีแต่งานศิลป์ที่สงบนิ่ง และแสงไฟนิงสงบจากเทียนเล่มเล็ก 

เป็นความรักแรกที่เวียนนามามอบความประทับใจให้ เหมือนกล่าวต้อนรับอย่างให้เกียรติคนเดินทางตัวเล็กๆ

ชื่อโบสถ์ คือ Jesuit church หรือภาษาเยอรมันที่เขียนไว้ด้านหน้าคือ “Jesuitenkirche”

เป็นโบสถ์ในศิลปะบาร็อค ภาพเขียนเพดานหลังคาโบสถ์ด้านในสวยมาก ออแกนประจำโบสถ์ก็ทำได้สวยงามเช่นเดียวกัน 

ฉันยืนมองภาพเขียนเพดานอย่างตะลึงจนเมื่อยคอ เป็นฝีมือของศิลปินอิตาเลียนสไตล์บาร็อคที่ชื่อ Andrea Pozzo ซึ่งได้สร้างผลงานในโรมไว้ที่โบสถ์ Sant'Ignazio เช่นเดียวกัน และศิลปินผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคการเขียนภาพแบบที่เรียกว่า “Quadratura” 

ในโบสถ์มีตู้ขายโปสการ์ดอัตโนมัติ ราคาใบละ 0.50 ยูโร แถมมีตู้ขายหนังสือเกี่ยวกับโสถ์แบบอัตโนมัติด้วย ในหลากหลายภาษา 

จากโบสถ์แห่งนั้น เริ่มรู้สึกแล้วว่าอย่าประมาทหรือคาดการณ์อะไรจากภายนอกที่ดูปกติ พอเจอโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง ฉันก็เปิดประตูจะเข้าไปดูอีก คราวนี้โบสถ์ปิด แต่ไม่เป็นไร มันเป็นยามค่ำแล้ว และแม้แต่ศาสนกิจก็ควรจำศีล 

เราเดินผ่านหน้าโบสถ์เยซูมาหนึ่งบลอก ก็เจอกับรูปปั้นอนุสาวรีย์ขนาดเล็กของ Johannes Gutenberg ชื่อนี้คุ้นมากถึงมากที่สุด (ช่วยกันคิดหน่อยค่ะ ไหนๆ ก็หลวมตัวร่วมเดินทางมาด้วยกันแล้ว) 

ว่ากันว่า ในเวียนนามีรูปปั้นบุคคลสำคัญอยู่ 18 แห่ง อาทิ เช่น จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา (Maria Theresia), จักรพรรดิฟรานซ์ (Emperor Franz I), emperor Franz Joseph I โมสาร์ต, ซิกมุนด์ ฟรอยด์, ฯลฯ

ตามคำกล่าวอ้างจากผู้มาก่อน เวียนนาย่านใจกลางเมืองเป็นเมืองที่เดินเที่ยวได้ แต่เราเห็นจักรยานมีจอดอยู่รอบเมือง แสดงว่าเมืองนี้คนนิยมใช้จักรยาน มีหัวฉีดน้ำดับเพลิงสีดำ อยู่กระจายเต็มไปหมด แสดงว่าเมืองนี้ผู้คนแคร์เรื่องนี้มาก งานเหล็กตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ งานป้าย ประตู หน้าต่าง มีรูปแบบแตกต่างไป ไม่มีแพทเทิร์นตายตัว แสดงว่าผู้คนชอบออกแบบและชอบอิสระ 

มือดีพ่นสเปรย์รอบเมือง มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แสดงว่ามีคนรุ่นใหม่ที่เบื่อหน่ายเมืองสวยงามที่เขาอยู่เป็นบางครั้ง โปสเตอร์เชิญชวนให้ไปดูงานศิลป์ในพิพิธภัณฑ์และแกลอรีต่างๆ มีอยู่ทั่วไป แสดงว่ามีงานศิลป์เยอะ แต่ใช้ภาษาเยอรมันเท่านั้น แม้แต่ในข้อความโฆษณา แสดงว่าพวกเขาภาคภูมิใจในภาษาตนเอง บางครั้งมากกว่าการทำการค้ากับนักท่องเที่ยวซะอีก 

รูปปั้นคนสำคัญของเมือง กระจายเต็มไปหมด เมื่อเราขับรถผ่าน พวกเขามีวัฒนธรรมสรรเสริญผู้กล้าและคนสำคัญ แสดงว่าผ่านหลายเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องอาศัยฮีไร่เข้าเป็นตัวช่วยสุดท้าย

ภายในโบสถ์ จะมีโปสการ์ดวางไว้ บอกราคาให้หยอดเงินใส่ตู้เอง มีที่ขายหนังสือพิมพ์อัตโนมัตื ซึ่งเป็นแค่รถจักรยานจอดไว้ตามสี่แยกคันหนึ่ง บอกราคา และมีที่หยอดเงิน แต่กระเป๋าที่ใส่หนังสือนั่นไม่ได้ล็อค แสดงว่าผู้คนชมชอบความซื่อสัตย์และไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน

มีเครื่องมืออัตโนมัติรอบเมือง เช่น ซื้อบุหรี่อัตโนมัติ ตู้ฟังข้อความสถานที่ท่องเที่ยวอัตโนมัติ ตู้อินเตอร์เน็ตที่ตั้งคู่อยู่กับตู้โทรศัพท์ ป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในสถานที่สำคัญที่ขึ้นทะเบียนทุกแห่ง เป็นธงสัญลักษณ์สีแดงสลับขาว แสดงว่าผู้คนนิยมพึ่งพาตัวเอง และพึ่งเครื่องมืออัตโมัติ มากกว่าพึ่งคน (อื่น)

มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางที่ฉันพยายามสังเกตเพื่อให้เป็นตัวตน และลมหายใจของคนและเมืองแห่งนี้ 

สวัสดี เวียนนา เธอจะอยู่ในความรู้สึกครุ่นคิดของฉันทุกลมหายใจใน 4 วัน นับจากนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่สัญญาจะทำความรู้จักให้มากที่สุด

 

2.

เราเดินโดยรอบ - - หมายถึงว่าพยายามเดินแบบตีวงล้อม เพื่อให้เข้าสู่ย่านใจกลางเมืองเรื่อยๆ แล้วก็พบกับโบสถ์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหลาง ล้อมรอบด้วยตึกสวยงาม หลังคาของโบสถ์เป็นเซรามิคสีเขียวแก่ เเหลือง ฯลฯ ดูคุ้นตา จนแม้แต่นักท่องเที่ยว 45 นาที อย่างเรา ยังรู้สึกโดยดุษฎีว่าเราคงมาถึงใจกลางเมืองที่เป็นย่านเมืองเก่า และหัวใจของเมืองแล้ว

ที่นี่คือมหาวิหารนักบุญสตีเฟ่น (St.Stephen Cathedral) มหาวิหารคู่บ้านคู่เมือง

เดินตรงปรี่เข้าไปอย่างตั้งใจ แต่โบสถ์ปิดไม่ให้เข้า เพราะด้านในกำลังจัดแสดงดนตรีในโบสถ์ เราจึงไม่สามารถเข้าไปดูความสวยงามของมหาวิหารอย่างที่ใจตื่นเต้นได้ ตั้งใจว่าจะมาดูอย่างละเอียดอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับยลโฉมด้านในกัน

รอบๆ มหาวิหารนั้นคือย่านเมืองเก่าที่ร้านรวงและบ้านสวยๆ ถูกจับจองให้เป็นร้านสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นคาเทียร์ โรเล็กซ์ ซาร่า เอช แอนด์ เอ็ม สวาลอฟสกี้ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาคารศิลปะบาร็อคหรือกอธิก 

จะมีก็แต่หลังหัวมุมที่ตกแต่งด้วยกระจกอย่าง Haas Haus ซึ่งไม่เข้ากับทั้งมหาวิหาร และบริเวณรอบๆ จนโดนตำหนิมากๆ แต่คนหัวสมัยใหม่ก็บอกว่านี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงความผสมกลมกลืนของความเก่าและใหม่ในเวียนนา ที่ซึ่งทุกอย่างตรงกันข้าม เมืองที่มีวงรอบในและนอก เมืองที่คนชอบทั้งอนุรักษ์และพัฒนา 

นอกจากร้านชอปปิ้งที่ไกด์ทัวร์ส่วนใหญ่อนุญาตให้ลูกทัวร์ให้เวลา 30 นาที ในการตะลุยชอปปิ้งอย่างด่วนและไม่มีวันเป็นจริงแล้ว ยังมีร้านกินดื่มที่เปิดพื้นที่หน้าร้าน กินเข้ามายังถนนส่วนกลางอย่างผึ่งผายให้นักท่องเที่ยวนั่งทอดตามองผู้คนเดินไปเพลิดเพลิน บ้างเป็นร้านแซนวิชชิ้นเล็กๆ บวกกาแฟไสตล์ออสเตรียน ที่เป็นกาแฟปั่นไอศกรีม หรือร้านไอศกรีมที่ผู้คนชิงพื้นที่เข้าไปซื้ออย่างล้มหลามเหมือนแจกฟรี เมื่อฉันเข้าไปช่วงชิงพื้นที่บ้าง ก็ได้ไอศกรีมรสชาติหวานเลี่ยนละลายเร็วมาโคนหนึ่ง 

เราเดินไปตามหน้าที่ มุ่งหน้าไปทิศเดียวกับกับฝูงชน ประมาณสามทุ่ม พระอาทิตย์เริ่มตก ความมืดเข้ามาถึงเมือง เราพบกับ Plague Column สร้างขึ้นเพื่อขอบคุณเมื่อโรคระบาดหมดไปจากเมือง เป็นเสาที่ขนาดไม่ใหญ่โต แต่สวยงามพอดิบพอดี นักท่องเที่ยวแย่งชิงถ่ายภาพกันตรึม

ร้านค้าที่ปิดแล้ว ด้านหน้ากระจกกลายเป็นห้องดิสเพลย์งานแสดงสินค้าที่ดึงดูดความสนใจของนักช็อปหน้ากระจก เขาจัดแสดงของไว้อย่างกับงานศิลป์สมัยใหม่

ก่อนมาที่นี่ ฉันไปตรวจตา จักษุแพทย์บอกว่าเป็นสายตายาวแบบซ่อนเร้น หมายความว่าสายตาเริ่มยาวแล้วนั่นเอง แต่ไม่ชัดมาก เป็นข้างเดียว เพราะเป็นสมดุลของร่างกายที่พยายามจะไม่เป็นสองข้าง ข้อดีคือ ตอนนี้ ฉันมองเห็นไกลได้ชัด และมันก็ทำให้ฉันเห็นอาคารด้านสุดของถนนที่ทอดตัวสวยมาก

สถานที่เที่ยวหรือสถานที่สำคัญๆ ในเวียนนา จะมีป้ายบอกชื่อและปีที่สร้าง ซึ่งเป็นตัวช่วยหนึ่งในการเดินทางในเวียนนา ถ้าคุณพบธงแดงขาวและป้ายชื่อแล้วล่ะก็ให้เกิดความสนใจขึ้นมาได้ทันที 

และความสวยงามด้านหน้า ฉันพบว่ามันคือทางเข้าสู่ “พระราชวังฮับบวร์ก” ตรงด้าน Imperial Chancellery ซึ่งมีน้ำพุสวยงามและรูปปั้น รวมทั้งมีซากเมืองเก่า รถม้าจอดอยู่ดูเข้ากับสถาปัตยกรรม มีรถม้ารับจ้าง จอดดูเป็นเครื่องประดับอย่างดีแก่สถานที่

และที่ลานบริเวณเดียวกันนั้นเป็นที่ตั้งของโบสถ์ขนาดไม่ใหญ่ แต่ถ้าลองมาตั้งในที่ทำเลยุทธศาสตร์อย่างนี้ เชื่อว่าต้องเป็นโบสถ์สำคัญแน่ เราตรงเข้าไปดูด้านในทันที มันเป็นความมืดท่ามกลางแสงเทียนเล่มน้อย และมีเพลงบรรเลงเบาๆได้บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ในนามของ “โบสถ์นักบุญไมเคิล” (St. Micheal) หรือชาวออสเตรียเรียกภาษาเยอรมันว่า “Michaelerkirche”

เรื่องของโบถส์นี่ ฉันยกให้เวณิชที่โบสถ์เก่าแก่และสวยมาก โบสถ์ในปรากก็เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นโบถส์ที่ธรรมดาๆ ด้านนอก แต่ด้านในแทบทุกโบสถ์ในปราก สวยงามและเก่าแก่ 

ส่วนโบถส์ในเวียนนามักมีความแตกต่างระหว่างเก่าและใหม่อยู่ค่อนข้างมาก โบถส์ใหม่ก็ใหม่ไปเลย โบสถ์เก่าก็ดูเก่าจนไม่มีอะไรเหลือให้ดูมากนัก...

 

ตามล่าหาโรงแรม

กลับมาที่ด้านพระราชวังฮับบวร์ก ซึ่งตอนนั้นเราปิดแล้ว และเรายังไม่ได้รู้ว่าคืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่าสวยและดูยิ่งใหญ่ ถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว ก็คิดว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ต้องมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น...

ถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เดินเลือกร้านอาหาร แต่ส่วนใหญ่เริ่มทยอยปิดหมดแล้ว เดินดูร้านรวงที่ปิดไปแล้วเรื่อยๆ เจอร้านขายขนมเค้กแฟนตาซีน่ารักมาก แล้วมาถึงร้านอาหารฝรั่งเศสที่ยังเปิดอยู่ 

มื้อแรกในเวียนนา ฉันสั่งนู้ดเดิ้ลซุป (noodle soup)กะว่าใกล้เคียงบ้านเราที่สุด มาเร็กถามว่ามีเมนูอาหารมังสวิรัติไหม บริกรมีน้ำใจตะโกนถามเชฟข้ามห้องว่า “มีไหม” เชฟตะโกนกลับมาว่า “มี” 

คราวนี้ บริกรเดินเข้าไปถามถึงในครัวเพื่อถามว่ามีเมนูอะไร แล้วกลับออกมาตอบเราว่า “pasta vegetarian” 

“โอเค เยี่ยม” มาเร็กตอบ

แม้จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่แสดงว่าผู้คนที่นี่พยายามพอสมควรที่จะทำอะไรนอกเหนือจากเมนู ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกตินักในเมืองใหญ่ของอียู แถมรสชาติเมื่อมาเร็กจัดการเรียบแล้ว ก็บอกว่าดีอีกต่างหาก แสดงว่าไม่ได้ทำแบบขอไปที 

เมื่อท้องอิ่ม ห้าทุ่มก็มาถึง และถึงเวลาตามหาโรงแรมเสียทีเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ฉันเที่ยวยุโรปทางรถ เป็นความเขื่องในใจที่คิดว่ามีรถแล้วจะไปไหนก็สะดวก ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงจะหลงทางซะหน่อย ก็คิดว่าเป็นการชมเมืองไปในตัว 

เราขับรถไปเรื่อยๆ คิดว่าลองมองหาโรงแรมที่ชอบ คิดว่าเข้าท่า ก็เดินเข้าไปถามราคาเลย แล้วขอดูพัก จากนั้นก็กระโดดทุ่มตัวทั้งหมดลงไปยังเตียงหนานุ่มให้หายเหนื่อย ที่ไหนได้ เส้นทางขับรถในเวียนนานั้นไม่ง่าย และมีการก่อสร้างกระจายอยู่เต็มไปหมด ทำให้เราขับรถหลงวนไปวนมารอบเมืองหลายเที่ยว จีพีเอสก็จีพีเอสเถอะ ถึงตอนนี้ไม่เป็นตัวช่วย แต่เป็นตัวพางงซะเอง 

...หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หลงในทั้งย่านเมืองเก่าและเมืองใหม่ เริ่มไม่สนุกแล้ว เบื่อหนัก เพราะขับรถเป็นวงกลม ผ่านเส้นทางที่ดูน่ากลัว แถมหลงไปที่จอดรถอัตโนมัติอีกแล้ว แต่โชคดีที่ลานจอดรถนี้มีทางออกสำหรับคนเข้ามาผิด โดยการรับตั๋วฟรี แล้วผ่านออกอีกประตูหนึ่งเราเลยโชคดีไป

เมื่อเข้าเหตุการณ์คับขัน ฉันเลยนึกได้ว่ามีหนังสือหน้าต่างโลก “ออสเตรีย” ภาคภาษาไทย มาด้วย และด้านหลังก็จะมีลิสต์ชื่อโรงแรม เข้าตาจนอย่างนี้ ใช้ไกด์บุคก็ได้ฟระ

ควักหนังสือออกมา แล้วเลือกโรงแรม 2 ดาว มาโรงแรมหนึ่ง มาเร็กถามว่าทำไมเลือกโรงแรมนี้ ฉันเลยแปลให้ฟังว่า 

“เป็นโรงแรมในย่านใจกลางที่ชอปปิ้ง.......” พอถึงแค่ประโยคนี้ เขาก็หัวเราะออกมา 

“นี่หรือคือเหตุผลที่ผู้หญิงเลือกโรงแรม”

เมื่อโทรไปที่โรงแรม ปรากฏว่าเต็มแล้ว จิ้มนิ้วเลือกอีกที่หนึ่ง แล้วโทรไป ปรากฏว่ายังมีห้องว่าง สิ่งเดียวที่ฉันขอจากโรงแรมคือ มีที่จอดรถไหม คำตอบคือ มี สิ่งเดียวที่มาเร็กขอคือ มีทีวีไหม โรงแรมตอบ มี โอเค ถ้างั้นเราจะไปถึงโรงแรมคุณในอีก 15 นาที

เราใส่ชื่อโรงแรมไปในจีพีเอส แค่ 3.6 กม. เท่านั้นเอง ขับรถไปตามเส้นทางเรื่อยๆ แต่ไม่รู้จีพีเอสอีท่าไหน หลงมากมายมหาศาล บางครั้งความทันสมัย มันก็มีอะไรที่งี่เง่าเหลือเชื่อ หลงไปอีกชั่วโมงครึ่ง ถึงตอนนี้เริ่มท้อแล้ว้ราเริ่มขับรถเป็นวงกลม ย้อนไปก็ย้อนมาน่าเวียนนา 

เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ฉันน่ะเป็นผู้หญิง แถมมาจากไทย พอเห็นโรงแรมริมถนน ก็เริ่มสงสัยว่าทำไมเราไม่โดดไปที่โรงแรมนี่ล่ะ ผ่านมาสิบรอบแล้ว อาจจะดีกว่าโรงแรมที่เราจองไว้ แต่ยังไม่ได้เห็นก็ได้

แต่คนยุโรป คำพูดเป็นคำพูด จองก็คือจอง ไม่ต้องมีมัดจำ แต่เมื่อจองแล้ว จะยกเลิก ต้องบอกล่วงหน้า 

เราพยายามอย่างที่สุดจนมาถึงโรงแรมที่ว่า ซึ่งอยู่ใกล้นาฬิกา Anker clock ที่มีชื่อเสียงของเมือง บริกรอินเดียนออกมาต้อนรับเรา ห้องราคา 115 ยูโร มีทีวี แต่ปรากฏกว่าที่จอดรถ คือที่จอดรถริมถนนหน้าโรงแรม ซึ่งจอดฟรีถึงสามโมงเช้า แต่เราต้องตื่นมาเลื่อนรถในเวลาก่อนนั้น ไปหาที่จอดที่อื่นและยังต้องเสียค่าที่จอดต่อวันอีก

โกรธถึงโกรธมากที่สุด เพราะเมื่อเราถามตอนโทรมาจองถึงที่จอดรถ ทางโรงแรมก็บอกว่ามี แต่มันมีในความหมายของจอดริมถนน

มันทำให้เราขับรถต้องไปย่านอื่นของเมือง มาเร็กไปเลือกแวะ Hotel de Paris เพราะดูมีที่จอดรถเป็นสัดส่วนบริเวณด้านหน้าโรงแรม 

คืนนี้ตีสาม เราถึงโรงแรมอย่างกระโดดลงเตียงหนานุ่มไม่ไหว ได้แต่คลานขึ้นเตียงอย่างหมดสภาพ ขับรถจากปรากมาเวียนนา แค่ 3 ชั่วโมง แต่หลงทางในเวียยนาเกือบ 3 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน 

 

เที่ยววันแรก

ด้วยความที่มาเร็กขับรถมาตลอด และนอนไม่หลับในคืนที่เหนื่อยเกินไป วันนี้ฉันจึงออกเดินเที่ยวคนเดียว ให้เขาพักผ่อน 

“ไปพิพิธภัณฑ์กุฟสตาฟ คลิ้ม ไปอย่างไรคะ” ฉันเริ่มต้นด้วยการถามโรงแรม และสาเหตุที่เลือกไปที่นี่ที่แรก เพราะยังไม่รู้จักเวียนนา โบร์ชัวร์โฆษณาต่างๆ ที่เก็บมาอ่านก็ล้วนแต่เป็นภาษาเยอรมัน เลยเลือกไปเยี่ยมศิลปินที่ฉันชอบมากคนหนึ่ง ภาพของเขาโรแมนคิกชวนฝันได้ใจมาก 

บริกรชาวอินเดียนที่ฟร้อน์ของโรงแรม บอกให้ฉันให้นั่งแทรมสายดี ที่หน้าโรงแรม ไปจนสุดสาย แล้วพิพิธภัณฑ์จะอยู่ฝั่งตรงข้าม

พอไปถึงที่สถานีแทรม เริ่มงงว่าฝั่งไหนกันแน่ เพราะที่เวียนนาขับรถชิดขวา สัญชาตญาณยังไม่ปรับโหมด พอลงไปในสถานีเมโทร ก็เจอภาษาเยอรมันที่เห็นแล้วมึนตึบ ตรงไปที่ร้านขายหนังสือแถบนั่นด่วน อย่างต้องการไกด์บุคเต็มที่ 

แต่ร้านหนังสือก็มีภาษาอื่นทุกภาษาเลยนะรวมทั้งญี่ปุ่นด้วย แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ และแน่นอนไม่มีภาษาไทย ฉันหาตัวช่วยจนไปได้โปสการ์ดมาอันหนึ่ง เป็นภาพแผนที่เมืองตรงส่วนกลาง พอเป็นไกด์ได้บ้าง 

แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไร หน้าต่างโลกเล่มเวียนนา ช่างเป็นหนังสือแนะนำเที่ยวที่เขียนแนะนำเส้นทางเดินได้น่าปวดหัวดีจริงๆ คือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักเวียนนา จะไม่มีวันอ่านเข้าใจเลย ก็เล่นบอกให้เดินไปที่นั่น ไปต่อที่โน่น แล้วไปที่นี่ แล้วไอ้โน่น นั่น นี่ มันที่ไหนล่ะหว่า? 

ชื่อสถานที่เฉพาะต่างๆ ก็ไม่วงเล็บภาษาบ้านเขาด้วย จะเอามาเทียบกับการใช้เดืนทางจริง ไม่ได้เลย มันเป็นไกด์บุ้คที่คุณต้องไปเที่ยวมาแล้ว ถึงกลับมาอ่านเข้าใจ

บ่นพอได้น้ำจิ้มกับการเดินทางคนเดียววันแรกในเวียนนา แล้วไปที่ตู้ขายตั๋วเมโทรอัตโนมัติ ราคาตั๋วถ้า 24 ชั่วโมง 5.4 ยูโร ถ้าเที่ยวเดียว 1.7 ยูโร งั้นเอา 2 ตั๋วดีกว่า เพราะยังไงๆ วันนี้ก็คงใช้แค่ไปกับกลับ เพราะราคาต่างกัน 1-2 ยูโร นี่เป็นร้อยบาทบ้านเราเชียวนะ 

พอได้ตั๋วมาสองใบ รู้สึกอุ่นใจ แต่ฉันกลับเลือกเดินเท้าเที่ยวเมืองต่อ เพราะเมื่อเห็นไกลๆ เป็นโบสถ์ที่อยู่ตรงหัวมุมถนนนั้นท่าทางน่าสนใจ

แค่เดินผ่านสวนสาธารณะขนาดเล็ก ฉันก็เจอกับโบสถ์สองยอดสไตล์กอธิก ด้านนอกปิดป้ายคลุมโดยรอบ กำลังซ่อมแซมอยู่ เข้าไปในด้านในก็พบกับโบสถ์ที่ใหญ่และสวยงาม พยายามหาข้อมูลอย่างด่วนจากโปสการ์ดที่ขาย รวมทั้งเปิดอ่านหนังสือคู่มือโบสถ์ เพื่อจับใจความให้ได้ว่า มีอะไรน่าสนใจในโบสถ์นั้น

มันเป็นกอธิกที่สูงโปร่ง หน้าต่างกระจกสี ภายโล่ง ดูสงบ...

ชื่อโบสถ์คือโบสถ์แห่งพันธะสัญญา (Votive Church) จากข้อมูลบอกว่าเป็นหนึ่งในโบสท์ที่สวยที่สุดในเวียนนา ดังเพราะมีหีบศพของท่านเคานท์นิคลาส ซาล์ม (Niklas Salm) คอมแมนเดอร์คนแรกของเวียนนาในสมัยสงครามกับเติร์ก ซึ่งย้ายจากที่อื่นมาไว้ที่นี่ แต่จากหลุมศพหินที่เห็นค่อนข้างธรรมดา จนนักท่องเที่ยวไม่ให้ความสนใจมากนัก

ที่ฉันชอบมากที่สุดจากโบสถ์แห่งนี้ คือ กระจกสีที่ทำได้สวยงามและกลมกลืนกันไปทั้งหมด เมื่อแดดส่องกระทบ มันจะยิ่งสวยงามมาก ภาพเขียนบนเพานแบบเพรสโกก็เก่าและงามได้ใจจริงๆ แต่ที่อาจจะดูไม่คิดว่าเข้ากับโบสถ์เท่าไหร่ คือ โคมไฟ้าระย้าที่ดูกลวงไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับความอลังการของโบสถ์แห่งนี้

เมื่อออกจากที่จอดรถ โดยขึ้นลิฟท์ เราก็ทะลุมิติออกมาที่ถนนเส้นหนึ่ง ร้านรวงต่างๆ ปิดหมดแล้ว ผู้คนที่ดื่มกินในร้านอาหารอย่างเงียบๆ เราผ่านโบสถ์แห่งหนึ่งที่ภายนอกดูเรียบๆ แต่ฉันเป็นคนชอบเที่ยวโบสถ์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะโบสถ์มักเต็มไปด้วยศิลปะมากมาย ทั้งงานปั้น ภาพวาด งานสถาปัตยกรรม และยิ่งเป็นงานศิลป์จากความศรัทธา ฉันว่ามันเป็นงานศิลปะที่สูงค่า 

อาจไม่ใช่งานชื่อก้องโลก แต่ในความเล็กรายรอบขอบทางที่ไม่มีใครเล่านี่แหละ คือ เสน่ห์และประวัติศาสตร์การเดินทางส่วนตัวของเราเอง

ประตูยังเปิดต้อนรับอาคันตุกะอยู่ แม้จะเย็นมากแล้ว เมื่อลองเปิดประตูเข้าไปข้างในโบสถ์ ภาพแรกที่เห็นทำเอาตกใจ มันคือความสวยงามของโบสถ์ที่ธรรมดาๆ ภายนอกที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็น โอ่งโถงและสง่างาม เปล่าว่างผู้คน มีแต่งานศิลป์ที่สงบนิ่ง และแสงไฟนิงสงบจากเทียนเล่มเล็ก 

เป็นความรักแรกที่เวียนนามามอบความประทับใจให้ เหมือนกล่าวต้อนรับอย่างให้เกียรติคนเดินทางตัวเล็กๆ

ชื่อโบสถ์ คือ Jesuit church หรือภาษาเยอรมันที่เขียนไว้ด้านหน้าคือ “Jesuitenkirche”

เป็นโบสถ์ในศิลปะบาร็อค ภาพเขียนเพดานหลังคาโบสถ์ด้านในสวยมาก ออแกนประจำโบสถ์ก็ทำได้สวยงามเช่นเดียวกัน 

ฉันยืนมองภาพเขียนเพดานอย่างตะลึงจนเมื่อยคอ เป็นฝีมือของศิลปินอิตาเลียนสไตล์บาร็อคที่ชื่อ Andrea Pozzo ซึ่งได้สร้างผลงานในโรมไว้ที่โบสถ์ Sant'Ignazio เช่นเดียวกัน และศิลปินผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคการเขียนภาพแบบที่เรียกว่า “Quadratura” 

ในโบสถ์มีตู้ขายโปสการ์ดอัตโนมัติ ราคาใบละ 0.50 ยูโร แถมมีตู้ขายหนังสือเกี่ยวกับโสถ์แบบอัตโนมัติด้วย ในหลากหลายภาษา 

จากโบสถ์แห่งนั้น เริ่มรู้สึกแล้วว่าอย่าประมาทหรือคาดการณ์อะไรจากภายนอกที่ดูปกติ พอเจอโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง ฉันก็เปิดประตูจะเข้าไปดูอีก คราวนี้โบสถ์ปิด แต่ไม่เป็นไร มันเป็นยามค่ำแล้ว และแม้แต่ศาสนกิจก็ควรจำศีล 

เราเดินผ่านหน้าโบสถ์เยซูมาหนึ่งบลอก ก็เจอกับรูปปั้นอนุสาวรีย์ขนาดเล็กของ Johannes Gutenberg ชื่อนี้คุ้นมากถึงมากที่สุด (ช่วยกันคิดหน่อยค่ะ ไหนๆ ก็หลวมตัวร่วมเดินทางมาด้วยกันแล้ว) 

ว่ากันว่า ในเวียนนามีรูปปั้นบุคคลสำคัญอยู่ 18 แห่ง อาทิ เช่น จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา (Maria Theresia), จักรพรรดิฟรานซ์ (Emperor Franz I), emperor Franz Joseph I โมสาร์ต, ซิกมุนด์ ฟรอยด์, ฯลฯ

ตามคำกล่าวอ้างจากผู้มาก่อน เวียนนาย่านใจกลางเมืองเป็นเมืองที่เดินเที่ยวได้ แต่เราเห็นจักรยานมีจอดอยู่รอบเมือง แสดงว่าเมืองนี้คนนิยมใช้จักรยาน มีหัวฉีดน้ำดับเพลิงสีดำ อยู่กระจายเต็มไปหมด แสดงว่าเมืองนี้ผู้คนแคร์เรื่องนี้มาก งานเหล็กตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ งานป้าย ประตู หน้าต่าง มีรูปแบบแตกต่างไป ไม่มีแพทเทิร์นตายตัว แสดงว่าผู้คนชอบออกแบบและชอบอิสระ 

มือดีพ่นสเปรย์รอบเมือง มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แสดงว่ามีคนรุ่นใหม่ที่เบื่อหน่ายเมืองสวยงามที่เขาอยู่เป็นบางครั้ง โปสเตอร์เชิญชวนให้ไปดูงานศิลป์ในพิพิธภัณฑ์และแกลอรีต่างๆ มีอยู่ทั่วไป แสดงว่ามีงานศิลป์เยอะ แต่ใช้ภาษาเยอรมันเท่านั้น แม้แต่ในข้อความโฆษณา แสดงว่าพวกเขาภาคภูมิใจในภาษาตนเอง บางครั้งมากกว่าการทำการค้ากับนักท่องเที่ยวซะอีก 

รูปปั้นคนสำคัญของเมือง กระจายเต็มไปหมด เมื่อเราขับรถผ่าน พวกเขามีวัฒนธรรมสรรเสริญผู้กล้าและคนสำคัญ แสดงว่าผ่านหลายเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องอาศัยฮีไร่เข้าเป็นตัวช่วยสุดท้าย

ภายในโบสถ์ จะมีโปสการ์ดวางไว้ บอกราคาให้หยอดเงินใส่ตู้เอง มีที่ขายหนังสือพิมพ์อัตโนมัตื ซึ่งเป็นแค่รถจักรยานจอดไว้ตามสี่แยกคันหนึ่ง บอกราคา และมีที่หยอดเงิน แต่กระเป๋าที่ใส่หนังสือนั่นไม่ได้ล็อค แสดงว่าผู้คนชมชอบความซื่อสัตย์และไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน

มีเครื่องมืออัตโนมัติรอบเมือง เช่น ซื้อบุหรี่อัตโนมัติ ตู้ฟังข้อความสถานที่ท่องเที่ยวอัตโนมัติ ตู้อินเตอร์เน็ตที่ตั้งคู่อยู่กับตู้โทรศัพท์ ป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในสถานที่สำคัญที่ขึ้นทะเบียนทุกแห่ง เป็นธงสัญลักษณ์สีแดงสลับขาว แสดงว่าผู้คนนิยมพึ่งพาตัวเอง และพึ่งเครื่องมืออัตโมัติ มากกว่าพึ่งคน (อื่น)

มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางที่ฉันพยายามสังเกตเพื่อให้เป็นตัวตน และลมหายใจของคนและเมืองแห่งนี้ 

สวัสดี เวียนนา เธอจะอยู่ในความรู้สึกครุ่นคิดของฉันทุกลมหายใจใน 4 วัน นับจากนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก แต่สัญญาจะทำความรู้จักให้มากที่สุด

 

text by Netnapa Janeckova